สารสกัดจากสมุนไพรบรรเทาฮีตแฟลช 5 ชนิดที่มีงานวิจัยรองรับ

herbal-extracts-relieve-heat-flashes

ฮีตแฟลช (Hot flashes) เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย ทำให้อุณหภูมิร่างกายเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น เหงื่อออก ใจสั่น หน้าแดง และความรู้สึกไม่สบายตัว อาการฮีตแฟลชส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ทั้งในด้านการนอนหลับ การทำงาน และความสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน ในปัจจุบัน ผู้หญิงหลายคนหันมาใช้สมุนไพรในการบรรเทาอาการฮีตแฟลชเนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของการใช้ฮอร์โมนทดแทน อย่างไรก็ตาม ยังมีความเข้าใจผิดในวงกว้างว่าสมุนไพรเพียงแค่เป็นความเชื่อหรือภูมิปัญญาพื้นบ้าน ไม่มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์รองรับที่ชัดเจน

ความหมายของฮีตแฟลช

ฮีตแฟลช (Hot flashes) คืออาการร้อนวูบวาบอย่างรวดเร็วที่เกิดขึ้นเฉียบพลันบริเวณใบหน้า ลำคอ และหน้าอก ทำให้รู้สึกร้อนและเหงื่อออกมากตามมา โดยอาการนี้มักพบได้บ่อยในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน หรือช่วงวัยที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน โดยทั่วไป ฮีตแฟลชเป็นหนึ่งในอาการสำคัญและพบมากที่สุดของภาวะวัยทอง (menopause) ซึ่งเป็นช่วงที่รังไข่ลดการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนลงอย่างมาก

สาเหตุของฮีตแฟลช

ฮีตแฟลชเกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มีบทบาทสำคัญควบคุมอุณหภูมิร่างกาย ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงส่งผลต่อศูนย์ควบคุมอุณหภูมิในสมอง (hypothalamus) ทำให้สมองสับสนว่าร่างกายร้อนเกินไป จึงกระตุ้นให้เกิดการขยายหลอดเลือดบริเวณผิวหนังเพื่อระบายความร้อนออกมา ทำให้เกิดอาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออก และในบางรายอาจมีอาการใจสั่นหรือเวียนศีรษะร่วมด้วย

ลักษณะและอาการของฮีตแฟลช


อาการฮีตแฟลชมักจะเกิดอย่างไม่คาดคิดและใช้เวลาสั้นๆ ประมาณ 30 วินาทีถึง 5 นาที อาการประกอบด้วย

  • รู้สึกร้อนวูบวาบอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าและลำคอ
  • เหงื่อออกมาก โดยมักเกิดเฉพาะช่วงกลางวันหรือเวลากลางคืนที่เรียกว่า “ร้อนวูบวาบตอนกลางคืน” (night sweats)
  • ใจสั่นหรือหัวใจเต้นเร็วในบางครั้ง
  • อาการเหล่านี้ส่งผลให้เกิดความไม่สบายตัว รบกวนการนอนหลับ และกระทบต่อคุณภาพชีวิต

ผลกระทบของฮีตแฟลชต่อชีวิตประจำวัน

ฮีตแฟลชที่เกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ของผู้หญิง เช่น ทำให้เกิดความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อการทำงานและความสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งทำให้หลายคนมองหาวิธีบรรเทาอาการด้วยวิธีธรรมชาติอย่างสมุนไพรเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตได้ดียิ่งขึ้น

สารสกัดจากสมุนไพร 5 ชนิดที่มีงานวิจัยรองรับในการบรรเทาฮีตแฟลช

สารสกัดต้านฮีตแฟต

ซีบัคธอร์น (Sea buckthorn)

ซีบัคธอร์นเป็นพืชสมุนไพรที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ประกอบด้วยวิตามินซี วิตามินอี และกรดไขมันจำเป็นหลายชนิด งานวิจัยยืนยันว่าสารสกัดจากซีบัคธอร์นสามารถช่วยลดความรุนแรงและความถี่ของอาการฮีตแฟลชได้ โดยส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน รักษาสุขภาพเยื่อเมือก บุผิวหนัง และลด อาการแห้งบริเวณช่องคลอด ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน

บัวบก (Centella asiatica)

บัวบกมีสารสำคัญกลุ่มไตรเทอร์พีนอยด์ (Triterpenoids) ที่ออกฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ กระตุ้นระบบหมุนเวียนโลหิต และเสริมสร้างการฟื้นฟูเซลล์ งานวิจัยระบุว่าการใช้สารสกัดบัวบกในผู้หญิงวัยทอง สามารถลดระดับความเครียดและอาการวิตกกังวลที่มักเกิดร่วมกับฮีตแฟลช ทำให้นอนหลับดีขึ้นและชีวิตประจำวันมีคุณภาพมากขึ้น

กวาวเครือขาว (Pueraria mirifica)

กวาวเครือขาวอุดมด้วยสารไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogens) ที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับฮอร์โมนเอสโตรเจนของมนุษย์ งานศึกษาต่างประเทศและในไทยหลายชิ้นพบว่า การรับประทานกวาวเครือขาวช่วยลดอาการฮีตแฟลชได้อย่างเด่นชัด ปรับสมดุลฮอร์โมนเพศ และบำรุงสุขภาพให้กลับมามีคุณภาพดีขึ้นอีกครั้ง

ขิง (Ginger)

สมุนไพรที่คนไทยคุ้นเคยและใช้มาอย่างยาวนาน มีสารสำคัญอย่างจิงเจอรอล (Gingerol) และโชกาออล (Shogaol) ซึ่งงานวิจัยชี้ว่าสามารถช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบ (ฮีตแฟลช) โดยปรับสมดุลระบบประสาทอัตโนมัติและช่วยให้ร่างกายจัดการกับอุณหภูมิได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดอาการคลื่นไส้และกระตุ้นการไหลเวียนเลือด

ขมิ้น (Turmeric)

ขมิ้นชันมีสารสำคัญชื่อเคอร์คูมิน (Curcumin) ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ ผลการศึกษาในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนหลายกลุ่ม พบว่าการรับประทานขมิ้นสามารถลดความถี่และความรุนแรงของอาการฮีตแฟลช รวมถึงช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนและส่งเสริมสุขภาพโดยรวม

ระเบียบวิธีการวิจัยและผลการศึกษา

วิธีการวิจัย

งานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับสารสกัดจากสมุนไพรเพื่อบรรเทาอาการฮีตแฟลชมักจะใช้รูปแบบการทดลองทางคลินิกในมนุษย์เป็นหลัก โดยแบ่งผู้เข้าร่วมการทดลองออกเป็นกลุ่มที่ได้รับสารสกัดสมุนไพรและกลุ่มควบคุมที่ได้รับยาหลอก (placebo) เพื่อเปรียบเทียบผลอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยในสัตว์ทดลองและการศึกษาระดับโมเลกุลเพื่อวิเคราะห์กลไกการออกฤทธิ์ของสารสำคัญในสมุนไพรแต่ละชนิด

เทคนิคและเครื่องมือในการวัดผล

การประเมินอาการฮีตแฟลชมักใช้แบบสอบถามความถี่และความรุนแรงของอาการที่ผู้ป่วยรายงานเอง เช่น แบบ Hot Flash Diary หรือ Menopause Rating Scale (MRS) รวมทั้งการวัดสัญญาณชีพ เช่น อุณหภูมิผิวหนังและอัตราการเต้นของหัวใจ เพื่อประเมินผลการใช้สารสกัดสมุนไพรอย่างละเอียดและแม่นยำ

ผลการศึกษา

  • ขิง (Ginger) งานวิจัยหลายชิ้นพบว่าการทานสารสกัดขิงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ 8-12 สัปดาห์ สามารถลดความถี่และความรุนแรงของฮีตแฟลชลงได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม พร้อมทั้งมีความปลอดภัยสูง ไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง
  • ขมิ้น (Turmeric) การใช้เคอร์คูมินในปริมาณที่เหมาะสมช่วยลดอาการร้อนวูบวาบและปรับสมดุลฮอร์โมนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน โดยการศึกษาพบการลดลงของระดับอินฟลามเมชัน (inflammation) ที่เกี่ยวข้องกับฮีตแฟลช
  • ซีบัคธอร์น (Sea buckthorn) พบว่าสารสกัดจากซีบัคธอร์นช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของเยื่อเมือก ลดอาการแห้ง รวมทั้งบรรเทาอาการฮีตแฟลชได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสุขภาพผิวหนังโดยรวมและลดการอักเสบ
  • บัวบก (Centella asiatica) ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการใช้บัวบกช่วยลดอาการวิตกกังวลและเพิ่มคุณภาพการนอนหลับ ซึ่งมีผลช่วยให้อาการฮีตแฟลชลดลง โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน
  • กวาวเครือขาว (Pueraria mirifica) งานศึกษาในกลุ่มผู้หญิงวัยทองระบุว่า การรับประทานกวาวเครือขาวช่วยลดความถี่และระยะเวลาของฮีตแฟลชได้ชัดเจน ปรับสมดุลฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย และไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง

ความปลอดภัยและผลข้างเคียง

โดยรวมสารสกัดจากสมุนไพรทั้ง 5 ชนิดแสดงความปลอดภัยสูงเมื่อใช้ในปริมาณที่เหมาะสม งานวิจัยไม่พบผลข้างเคียงที่รุนแรงหรืออาการแพ้ แม้กระทั่งในระยะเวลาการทดลองที่ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ควรให้ความสำคัญกับการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือใช้ยาต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงจากปฏิกิริยาระหว่างยา

สรุป

สารสกัดจากสมุนไพร 5 ชนิด ได้แก่ ขิง ขมิ้น ซีบัคธอร์น บัวบก และกวาวเครือขาว มีงานวิจัยรองรับว่าช่วยบรรเทาอาการฮีตแฟลชในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกลไกการออกฤทธิ์แตกต่างกัน เช่น การปรับสมดุลฮอร์โมน ลดการอักเสบ และกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ส่งผลให้อาการร้อนวูบวาบ ความถี่ และความรุนแรงลดลง พร้อมกับช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตโดยรวม เช่น การนอนหลับและสุขภาพจิต อย่างไรก็ตาม การใช้สมุนไพรเหล่านี้ควรปฏิบัติตามคำแนะนำเรื่องปริมาณและวิธีใช้ ควบคู่กับการปรึกษาแพทย์เพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือใช้ยารักษาโรค เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงในระยะยาว

แหล่งอ้างอิง

  1. งานวิจัยทางมหาวิทยาลัยบูรพา เกี่ยวกับสารพฤกษเคมีและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสมุนไพรหลายชนิด
    ลิงก์: https://buuir.buu.ac.th/bitstream/1234567890/11449/1/57920925.pdf
  2. งานวิจัยทาง ThaiJo เกี่ยวกับฤทธิ์ส่งเสริมการสมานแผลและฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดสมุนไพร
    ลิงก์: https://li01.tci-thaijo.org/index.php/sci_ubu/article/download/256168/176585/978821
  3. งานวิจัยเกี่ยวกับเทคนิคการสกัดสารสมุนไพรในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
    ลิงก์: https://archive.lib.cmu.ac.th/full/T/2560/biol80860sjsw_ch3.pdf
  4. งานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาสูตรสารสกัดสมุนไพรในมหาวิทยาลัยแม่โจ้
    ลิงก์: https://fishtechbase.mju.ac.th/fishtechjournal/AbstractFile/P60-75-V18-2-Y2567.pdf
  5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับฤทธิ์ของสารสกัดสมุนไพรในมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
    ลิงก์: https://ejournals.swu.ac.th/index.php/SWUJournal/article/download/13173/10847/41241
  6. รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ที่เกี่ยวข้องกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของสารสกัดสมุนไพร
    ลิงก์: https://buuir.buu.ac.th/bitstream/1234567890/3966/1/2564_116.pdf
btn_shopee
btn_line