โรคกระดูกพรุนความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในวัยทอง และวิธีรับมือด้วยตัวเอง

osteoporosis-risks-increase-during-menopause

กระดูกของเราเปรียบเสมือนเสาหลักของร่างกายที่ช่วยพยุงและปกป้องอวัยวะภายใน แต่เมื่อเวลาผ่านไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงวัยทอง ความแข็งแรงของเสาหลักเหล่านี้อาจเริ่มสั่นคลอน โรคกระดูกพรุน หรือภาวะที่กระดูกบางลง เปราะบางลง และมีโอกาสหักได้ง่ายขึ้น กลายเป็นภัยเงียบที่คุกคามคุณภาพชีวิตของผู้หญิงวัยทองจำนวนมาก การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งให้เกิดภาวะนี้ บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ ปัจจัยเสี่ยง และที่สำคัญที่สุดคือแนวทางการรับมือและป้องกันโรคกระดูกพรุนด้วยตัวเอง เพื่อให้ทุกช่วงวัยทองเป็นไปอย่างแข็งแรงและมั่นใจ

การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนกับกระดูกพรุน

ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาสมดุลของการสร้างและสลายกระดูกในร่างกาย ตลอดชีวิตของเรา กระดูกจะมีการสลายตัวและสร้างใหม่ตลอดเวลา (Bone Remodeling) เพื่อให้กระดูกแข็งแรงอยู่เสมอ โดยมีเซลล์ 2 ชนิดหลักที่ทำงานร่วมกัน ได้แก่ เซลล์สร้างกระดูก (Osteoblast) และเซลล์สลายกระดูก (Osteoclast)

ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะทำหน้าที่ช่วยยับยั้งการทำงานของเซลล์สลายกระดูกและส่งเสริมการทำงานของเซลล์สร้างกระดูก ทำให้มวลกระดูกคงที่และแข็งแรง แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยทอง รังไข่จะหยุดสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนอย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายลดลงอย่างมาก การลดลงของเอสโตรเจนนี้ส่งผลให้เซลล์สลายกระดูกทำงานได้มากขึ้นในขณะที่เซลล์สร้างกระดูกทำงานได้น้อยลง เกิดความไม่สมดุล มวลกระดูกจึงถูกสลายไปมากกว่าสร้าง ทำให้กระดูกบางลง เปราะบาง และพรุนในที่สุด นี่คือสาเหตุหลักที่ผู้หญิงวัยทองมีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนสูงกว่ากลุ่มประชากรอื่น ๆ

ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ

  • อายุ: เมื่ออายุมากขึ้น การทำงานของเซลล์สร้างกระดูกจะลดลงตามธรรมชาติ มวลกระดูกจึงลดลงเรื่อยๆ ทุกคนจะสูญเสียมวลกระดูกไปตามวัย
  • เพศ: ผู้หญิงมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ชายถึง 4 เท่า โดยเฉพาะหลังวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากมีการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนอย่างรวดเร็ว
  • พฤติกรรม:
  • การสูบบุหรี่: สารพิษในบุหรี่ทำลายเซลล์สร้างกระดูก และขัดขวางการดูดซึมแคลเซียม
  • การดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มมากเกินไปลดการดูดซึมแคลเซียมและวิตามินดี อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการหกล้ม

การขาดการออกกำลังกาย: การขาดการลงน้ำหนักที่กระดูก เช่น การเดิน วิ่ง หรือยกน้ำหนัก ทำให้กระดูกไม่ได้รับการกระตุ้นให้สร้างความแข็งแรง

  • พันธุกรรม: หากมีประวัติคนในครอบครัว โดยเฉพาะพ่อแม่ เป็นโรคกระดูกพรุนหรือกระดูกหักง่าย คุณก็มีความเสี่ยงสูงขึ้น
  • น้ำหนักตัว: ผู้ที่มีน้ำหนักตัวน้อยหรือผอมเกินไป (BMI ต่ำกว่า 18.5) มีความเสี่ยงสูงขึ้น เนื่องจากมีมวลกระดูกเริ่มต้นน้อย และอาจมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ
  • การใช้ยาบางชนิด: เช่น ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (สเตียรอยด์) เป็นเวลานาน ยาต้านชัก หรือยาฮอร์โมนไทรอยด์ในปริมาณสูง

ภาวะทางการแพทย์บางอย่าง: เช่น โรคไทรอยด์เป็นพิษ โรคเบาหวานบางชนิด โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง หรือภาวะขาดสารอาหาร

อาการและผลกระทบของโรคกระดูกพรุน

โรคกระดูกพรุนมักถูกเรียกว่า “ฆาตกรเงียบ” เนื่องจากในระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการที่ชัดเจนจนกว่าจะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น กระดูกหัก

อาการปวดจากกระดูกพรุน

อาการทั่วไป

  • ปวดหลัง: อาจเป็นสัญญาณแรกที่บ่งบอกถึงกระดูกสันหลังยุบหรือหัก ซึ่งอาจเกิดขึ้นเองหรือเกิดจากแรงกระแทกเล็กน้อย อาการปวดมักเป็นเรื้อรังหรือเฉียบพลัน
  • การยุบตัวของกระดูกสันหลัง: เมื่อกระดูกสันหลังหลายข้อเกิดการยุบตัว จะทำให้ความสูงลดลง หลังค่อมหรือหลังโก่งงอ (Dowager’s Hump) ซึ่งสามารถสังเกตได้จากเสื้อผ้าที่เคยใส่ได้พอดีแต่กลับหลวมหรือไม่พอดี
  • กระดูกหักง่าย: เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดและเป็นสัญญาณบ่งชี้ที่ชัดเจนของโรคกระดูกพรุน กระดูกที่มักหักง่ายได้แก่ กระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก และกระดูกข้อมือ ซึ่งอาจหักได้จากอุบัติเหตุเล็กน้อย เช่น การหกล้มเบาๆ การไอจามอย่างแรง หรือแม้กระทั่งการพลิกตัว

ผลกระทบต่อสุขภาพ

  • ความเจ็บปวดและการเคลื่อนไหวที่จำกัด: กระดูกหักโดยเฉพาะที่กระดูกสันหลังและสะโพก ทำให้เกิดความเจ็บปวดเรื้อรังอย่างมาก ลดความสามารถในการเคลื่อนไหว ทำกิจวัตรประจำวันได้ยากลำบาก และอาจนำไปสู่การพึ่งพาผู้อื่น
  • การเปลี่ยนแปลงรูปร่างและความมั่นใจ: หลังโก่งและความสูงที่ลดลงส่งผลต่อรูปร่างภายนอก ทำให้ผู้ป่วยขาดความมั่นใจในตนเอง และอาจส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ
  • ความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง: การหักของกระดูกสะโพกเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงที่สุด ผู้ป่วยอาจต้องผ่าตัดและพักฟื้นนาน บางรายอาจไม่สามารถกลับมาเดินได้ตามปกติ และมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ปอดอักเสบ หรือแผลกดทับ ซึ่งอาจนำไปสู่ความพิการถาวรหรือแม้กระทั่งการเสียชีวิตได้

วิธีรับมือด้วยตัวเอง

การป้องกันและรับมือกับโรคกระดูกพรุนในวัยทองเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถเริ่มต้นได้ด้วยการดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอ

ดูแลกระดูกพรุนด้วยตัวเอง

การออกกำลังกายที่เหมาะสม

การออกกำลังกายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการเสริมสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อให้แข็งแรง การออกกำลังกายที่ลงน้ำหนัก (Weight-bearing exercise) และการออกกำลังกายที่ต้านทานแรง (Resistance exercise) จะช่วยกระตุ้นให้เซลล์สร้างกระดูกทำงานได้ดีขึ้น และยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ลดความเสี่ยงของการหกล้ม

  • ตัวอย่างการออกกำลังกายที่แนะนำ:
  • เดินเร็ว, วิ่งเหยาะๆ, เต้นแอโรบิก: เป็นการออกกำลังกายที่ลงน้ำหนัก ช่วยกระตุ้นการสร้างมวลกระดูก
  • ยกน้ำหนักเบาๆ, บริหารร่างกายโดยใช้น้ำหนักตัว (Bodyweight exercise): เช่น ดันพื้น สควอท ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก
  • โยคะ, ไทชิ: ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น การทรงตัว และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ลดความเสี่ยงในการหกล้ม
  • การเดินขึ้นลงบันได: เป็นการออกกำลังกายที่ง่ายและทำได้ในชีวิตประจำวัน
  • ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มโปรแกรมการออกกำลังกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีข้อจำกัดทางสุขภาพ

การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

สารอาหารที่จำเป็นต่อสุขภาพกระดูก ได้แก่ แคลเซียมและวิตามินดี ซึ่งต้องได้รับอย่างเพียงพอ

  • ความสำคัญของแคลเซียม: แคลเซียมเป็นองค์ประกอบหลักของกระดูก ผู้หญิงวัยทองควรได้รับแคลเซียมประมาณ 1,000-1,200 มิลลิกรัมต่อวัน
  • แหล่งอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม: นมและผลิตภัณฑ์จากนม (โยเกิร์ต ชีส), ผักใบเขียวเข้ม (คะน้า บรอกโคลี ผักโขม), ปลาเล็กปลาน้อยที่กินได้ทั้งกระดูก (ปลาซาร์ดีน ปลากะตัก), เต้าหู้, ถั่วต่างๆ, งาดำ, น้ำส้มหรือซีเรียลเสริมแคลเซียม
  • ความสำคัญของวิตามินดี: วิตามินดีช่วยในการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระดูก หากขาดวิตามินดี ร่างกายจะไม่สามารถนำแคลเซียมไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • แหล่งวิตามินดี: แสงแดด (รับแสงแดดอ่อนๆ ในช่วงเช้าหรือเย็น ประมาณ 10-15 นาที 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์), ปลาที่มีไขมันสูง (ปลาแซลมอน ปลาทู), ไข่แดง, นมและซีเรียลเสริมวิตามินดี
  • ในบางกรณีที่ได้รับไม่เพียงพอจากอาหารและแสงแดด อาจพิจารณาการรับประทานอาหารเสริมวิตามินดีภายใต้คำแนะนำของแพทย์
  • ความสำคัญของโปรตีน: โปรตีนเป็นส่วนประกอบสำคัญของโครงสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อ การได้รับโปรตีนเพียงพอช่วยให้กระดูกและกล้ามเนื้อแข็งแรง

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

  • การงด/ลดการสูบบุหรี่: บุหรี่มีสารพิษที่ทำลายเซลล์สร้างกระดูกและขัดขวางการดูดซึมแคลเซียม การหยุดบุหรี่ช่วยให้สุขภาพกระดูกดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • การจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปจะรบกวนการดูดซึมแคลเซียมและวิตามินดี รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการหกล้ม
  • การรักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม: ควรมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสม ไม่อ้วนหรือผอมจนเกินไป ผู้ที่ผอมเกินไปมีความเสี่ยงสูงต่อโรคกระดูกพรุน
  • การป้องกันการหกล้ม: ตรวจสอบสภาพแวดล้อมในบ้านให้ปลอดภัย เช่น จัดบ้านให้เป็นระเบียบ ไม่มีสิ่งกีดขวาง ใช้แสงสว่างให้เพียงพอ ติดตั้งราวจับในห้องน้ำและบันได สวมรองเท้าที่กระชับและไม่ลื่น

การตรวจสุขภาพและการรักษา

แม้ว่าการดูแลตัวเองจะสำคัญ แต่การตรวจสุขภาพและการรักษาทางการแพทย์ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีความเสี่ยง

การตรวจสุขภาพ

  • การตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูก (DXA Scan): เป็นวิธีมาตรฐานที่แม่นยำที่สุดในการวินิจฉัยโรคกระดูกพรุนและประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหัก แพทย์มักแนะนำให้ผู้หญิงทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีอายุน้อยกว่าแต่มีปัจจัยเสี่ยง ควรเข้ารับการตรวจนี้
  • การประเมินความเสี่ยงโดยแพทย์: แพทย์จะประเมินปัจจัยเสี่ยง ประวัติสุขภาพ และทำการตรวจร่างกายเพื่อพิจารณาความจำเป็นในการตรวจเพิ่มเติมและการรักษา

การรักษา

หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระดูกพรุน แพทย์จะพิจารณาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการหักของกระดูก และเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก

  • การรักษาด้วยยา:
  • ยากลุ่มยับยั้งการสลายกระดูก (Antiresorptive drugs): เช่น กลุ่มยาไบฟอสโฟเนต (Bisphosphonates) ซึ่งเป็นยาหลักที่ใช้ในการรักษาโรคกระดูกพรุน ทำงานโดยการชะลอการสลายตัวของกระดูก
  • ยาเสริมการสร้างกระดูก (Anabolic drugs): ยาบางชนิดช่วยกระตุ้นการสร้างกระดูกใหม่
  • การรักษาด้วยฮอร์โมนทดแทน (Hormone Replacement Therapy – HRT): อาจพิจารณาในผู้หญิงวัยทองบางรายที่มีอาการวัยทองรุนแรงและมีความเสี่ยงต่ำต่อผลข้างเคียง แม้ว่าจะช่วยเรื่องกระดูกพรุนได้ แต่ก็มีข้อควรระวังและต้องปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด
  • การรักษาอื่นๆ: เช่น การเสริมแคลเซียมและวิตามินดีตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รวมถึงการจัดการความเจ็บปวดหากมีกระดูกหัก

ใส่ใจสุขภาพกระดูกตั้งแต่วันนี้

โรคกระดูกพรุนเป็นภัยเงียบที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในช่วงวัยทอง แต่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องยอมจำนน การทำความเข้าใจถึงสาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง และอาการ จะช่วยให้เราสามารถป้องกันและรับมือกับภาวะนี้ได้อย่างทันท่วงที การดูแลสุขภาพกระดูกด้วยตัวเองผ่านการออกกำลังกายที่สม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะแคลเซียมและวิตามินดีอย่างเพียงพอ รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ เป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความแข็งแรงของกระดูกไว้ให้ได้นานที่สุด และอย่าลืมการปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจสุขภาพและแนวทางการรักษาที่เหมาะสม การใส่ใจสุขภาพกระดูกตั้งแต่วันนี้ จะช่วยให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีและแข็งแรงตลอดช่วงวัยทองและในระยะยาว

btn_shopee
btn_line